คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณและประมวลลัพธ์ออกมา
คอมพิวเตอร์คืออะไร
คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สามารถสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการโดยใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย และสามารถที่จะทำงานตามสิ่งที่มนุษย์ต้องการได้อย่างหลากหลาย
คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร
คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมี ชิ้นส่วนอุปกรณ์(Hardware) และ ชุดคำสั่ง(Software) และมีผู้ใช้(Peopleware) เป็นผู้ควบคุมและสั่งงานคอมพิวเตอร์สามารถรับเอาข้อมูลและคำสั่งเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผลตามคำสั่งต่อเนื่องกันไป แล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบต่างๆ
ขั้นตอนการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ของคอมพิวเตอร์
รับข้อมูล (Input) --> ประมวลผล (Processing) --> แสดงผล (Output)
คอมพิวเตอร์จะต้องรับข้อมูล (Data) และคำสั่ง (Instruction) เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำก่อน แล้วจึงเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำนั้น ซึ่งในคำสั่งต่างๆ เหล่านี้จะมีการสั่งให้คอมพิวเตอร์นำเอาข้อมูลที่เก็บไว้ไปทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ออกมา สำหรับข้อมูลและคำสั่งที่ป้อนให้กับคอมพิวเตอร์นั้น เราเรียกรวมกันว่า Input โดยที่ข้อมูลที่ป้อนให้คอมพิวเตอร์นั้นจะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำข้อมูลไปใช้ ส่วนคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น โดยปกติเรามักจะสั่งคอมพิวเตอร์ทีละหลาย ๆ คำสั่งติดต่อกันไปทีเดียว เราจึงเรียกว่าเป็น ชุดของคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือ โปรแกรม (Program) ส่วนผลลัพธ์ที่คอมพิวเตอร์แสดงออกมานั้นเรียกว่า Output ซึ่งอาจแสดงออกมาในลักษณะรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ กราฟ หรือเป็นสัญญาณไฟฟ้าควบคุมหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ก็ได้
คำว่าคอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดจากอะไร
คำว่า Computer มาจากคำภาษาละตินคำว่า Computare ซึ่งมีความหมายว่า การนับ หรือ การคำนวณ แต่ในปัจจุบัน Computer จะหมายความถึงอุปกรณ์ หรือ เครื่องมือที่สามารถทำงานต่างๆ แทนมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว
คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร
คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมี ชิ้นส่วนอุปกรณ์(Hardware) และ ชุดคำสั่ง(Software) และมีผู้ใช้(Peopleware) เป็นผู้ควบคุมและสั่งงาน
คอมพิวเตอร์สามารถรับเอาข้อมูลและคำสั่งเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผลตามคำสั่งต่อเนื่องกันไป แล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบต่างๆ
รับข้อมูล (Input) --> ประมวลผล (Processing) --> แสดงผล (Output)
คอมพิวเตอร์จะต้องรับข้อมูล (Data) และคำสั่ง (Instruction) เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำก่อน แล้วจึงเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำนั้น ซึ่งในคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีการสั่งให้คอมพิวเตอร์นำเอาข้อมูลที่เก็บไว้ไปทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ออกมา สำหรับข้อมูลและคำสั่งที่ป้อนให้กับคอมพิวเตอร์นั้น เราเรียกรวมกันว่า Input โดยที่ข้อมูลที่ป้อนให้คอมพิวเตอร์นั้นจะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำข้อมูลไปใช้ ส่วนคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น โดยปกติเรามักจะสั่งคอมพิวเตอร์ทีละหลาย ๆ คำสั่งติดต่อกันไปทีเดียว เราจึงเรียกว่าเป็น ชุดของคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือ โปรแกรม (Program) ส่วนผลลัพธ์ที่คอมพิวเตอร์แสดงออกมานั้นเรียกว่า Output ซึ่งอาจแสดงออกมาในลักษณะรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ กราฟ หรือเป็นสัญญาณไฟฟ้าควบคุมหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ก็ได้
คำว่าคอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดจากอะไร
คำว่า Computer มาจากคำภาษาละตินคำว่า Computare ซึ่งมีความหมายว่า การนับ หรือ การคำนวณ แต่ในปัจจุบัน Computer จะหมายความถึงอุปกรณ์ หรือ เครื่องมือที่สามารถทำงานต่างๆ แทนมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว
บทบาทของคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในด้านต่าง ๆ อย่างมาก ชีวิตมนุษย์เราทุกวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แทบทุกเวลา นับตั้งแต่ตื่นนอนเพื่อเริ่มทำงานในแต่ละวัน จนกระทั่งเข้านอน คอมพิวเตอร์ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานต่างๆ มากมาย เช่น งานทางธุรกิจ การแพทย์ การศึกษา ศิลปะ ความบันเทิง และอุตสาหกรรม
คอมพิวเตอร์กับการศึกษา
- ระบบ CAI (Computer Aided Instruction) คือ เป็นระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลข้อมูลได้ทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงต่างๆ อีกทั้งผู้เรียนสามารถเลือกเรียนบทเรียนไหนซ้ำกี่ครั้งก็ได้
คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจ
- การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำบัญชี
- การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยให้บริการลูกค้า
- การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเก็บข้อมูลสินค้า
- การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยเก็บข้อมูล พร้อมทั้งสรุปผลการทำงาน และให้สารสนเทศ
คอมพิวเตอร์กับอุตสาหกรรม
- ระบบ CAD (Computer Aided Design) คือ เป็นระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยออกแบบสินค้า เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถจำลองชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เป็นสินค้าเหล่านั้นบนจอภาพ และสามารถจำลองการเคลื่อนไหว ตลอดจนทดสอบการทำงาน และคำนวณค่าต่าง ๆ ได้ ราวกับว่ามีการผลิตชิ้นส่วนนั้นขึ้นแล้วจริง ๆ ด้วยวิธีการนี้ทำให้ผู้ออกแบบสามารถดำเนินการแก้ไขชิ้นส่วนอุปกรณ์ในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ให้มีคุณภาพดีขึ้น จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงนำแบบที่ได้ออกแบบไว้มาดำเนินการสร้างจริงต่อไป
- ระบบ CAM (Computer Aided Manufacturing) เป็นระบบที่จะช่วยให้การผลิตสินค้า ทำให้ได้สินค้าที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพที่ดี มีการนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต
คอมพิวเตอร์กับงานธนาคาร
ในธนาคารมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการงาน เช่น การรับฝากและถอนเงิน ตลอดจนการจัดการบัญชีต่าง ๆ เพื่อให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าที่มาติดต่อได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM : Automatic Teller Machine) เข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการฝาก-ถอนเงินในช่วงเวลาที่ธนาคารปิด
คอมพิวเตอร์กับการทหาร
อาวุธต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ เรือรบ รถถัง ตลอดจนจรวดขีปนาวุธ ล้วนเป็นอาวุธที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์กับงานด้านการคมนาคม
การนำคอมพิวเตอร์มาควบคุมและจัดระเบียบทางการบินของเครื่องบิน เพื่อไม่ให้เกิดการชนกันของเครื่องบิน
คอมพิวเตอร์กับงานด้านบันเทิงและระบบมัลติมีเดีย
- การนำคอมพิวเตอร์มาควบคุมแสงสี สร้างภาพและฉากในภาพยนตร์ ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
- สร้างเสียงสังเคราะห์ในเพลง
- ใช้ในการเล่นเกม
คอมพิวเตอร์กับงานศิลปะ
การนำคอมพิวเตอร์มาสร้างภาพแปลก ๆ และเล่นสีสรร หากส่วนใดของภาพวาดไม่ต้องการ ก็สามารถลบส่วนนั้นออกไปได้
คอมพิวเตอร์กับการแพทย์
การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเก็บระเบียนคนไข้ เพื่อบันทึกประวัติการเจ็บป่วยตลอดจนการรักษาของแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย
คอมพิวเตอร์กับการสื่อสารโทรศัพท์โทรคมนาคม
- การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
[สรุป] บทบาทของคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน
- คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
-- ระบบ CAI (Computer Aided Instruction)
- คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจ
- คอมพิวเตอร์กับอุตสาหกรรม
-- ระบบ CAD (Computer Aided Design)
-- ระบบ CAM (Computer Aided Manufacturing)
- คอมพิวเตอร์กับงานธนาคาร
-- ระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM : Automatic Teller Machine)
- คอมพิวเตอร์กับการทหาร
-- โดรน
-- เครื่องบินรบ
-- เรือรบ
-- รถถัง
- คอมพิวเตอร์กับงานด้านการคมนาคม
- คอมพิวเตอร์กับงานด้านบันเทิงและภาพยนตร์
- คอมพิวเตอร์กับงานศิลปะ
- คอมพิวเตอร์กับการแพทย์
- คอมพิวเตอร์กับงานด้านวิทยาศาสตร์
- คอมพิวเตอร์กับงานด้านอวกาศ
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามการทำงาน
- ส่วนที่ทำหน้าที่รับข้อมูลและคำสั่ง (Input Devices)
- ส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผลกลาง (Processing Device)
-- ส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผลหลัก (Central Processing Device)
-- ส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผลด้านกราฟิก (Graphic Processing Device)
- ส่วนที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูล (Memory Device)
- ส่วนที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ (Output Device)
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามการมองเห็น
- ส่วนประกอบที่อยู่ภายนอก (External Hardware)
-- ตัวถัง (Computer Case, Computer Chassis)
-- จอภาพ [Monitor]
-- เครื่องอ่านแผ่นซีดี [CD-ROM Drive]
-- เครื่องอ่านแผ่นดีวีดี [DVD-ROM Drive]
-- Floppy Disk Drive
-- เม้าส์ [Mouse]
-- แป้นพิมพ์ [Keyboard]
-- ลำโพง [Speaker]
-- External Modem [External Modulate and Demodulate]
-- ADSL Modem [Asymmetric Digital Subscribers Line]
- ส่วนประกอบที่อยู่ภายใน [Internal Hardware]
-- เครื่องจ่ายไฟ [Power Supply]
-- แผงวงจรหลัก [Mainboard]
-- Harddisk
-- RAM [Random Access Memory]
-- Modem Card [Modulate and Demodulate Card] หรือ Internal Modem [Internal Modulate and Demodulate]
-- การ์ดเสียง Sound Card
-- การ์ดแสดงผล Graphic Card
-- พัดลมระบายความร้อน [Fan]
-- หน่วยประมวลผลกลาง [CPU : Central Processing Unit]
-- Heat Silk
หน่วยรับข้อมูล [Input Unit]
เป็นส่วนที่จะทำหน้าที่รับข้อมูลและคำสั่ง อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นี้ได้แก่
- แป้นพิมพ์ [Keyboard]
- เมาส์ [Mouse]
หน่วยแสดงผล [Output Unit]
เป็นส่วนที่จะทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นี้ได้แก่
- จอภาพ [Monitor]
- เครื่องพิมพ์ [Printer]
หน่วยประมวลผลกลาง [Central Processing Unit]
เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ โดยจะทำงานประสานกันกับหน่วยความจำในการประมวลผลข้อมูล ซีพียูมีส่วนประกอบย่อยดังนี้
- ALU [Arithmatic & Logical Unit] เป็นส่วนที่ทำหน้าที่คำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล
- หน่วยควบคุม [CU : Control Unit] เป็นส่วนที่ทำหน้าที่นำคำสั่งในหน่วยความจำมาตีความหมาย เพื่อให้ทราบว่าหน่วยใดจะต้องทำงานใด แล้วจึงแจกจ่ายงานต่างๆไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง
ประวัติของคอมพิวเตอร์
- นับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์รู้จักการนับจำนวนด้วยการใช้นิ้วมือ กิ่งไม้ ก้อนหิน และขีดเขียนลงตามพื้นดินหรือผนังถ้ำ และพัฒนามาเป็นการคำนวณแบบง่าย ๆ เช่น การบวก ลบ เป็นต้น
- 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวบาบิโลเนียนโบราณได้นำก้อนหินและดินเหนียวมาร้อยกับเชือกที่ขึงไว้กับกรอบไม้สี่เหลี่ยมเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการคำนวณและจดบันทึกบางสิ่งบางอย่าง
- 2,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ได้มีผู้ประดิษฐ์ลูกคิด [Abacus] ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการคำนวณชิ้นแรกที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน
- จอห์น เนเปียร์ [John Napier] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ ได้สร้างอุปกรณ์ที่ใช้ในการคำนวณชนิดหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นจากแท่งไม้ โดยเขียนตัวเลขไว้บนเนื้อไม้นั้น เมื่อนำแท่งไม้เหล่านี้มาเรียงต่อกันอย่างเหมาะสม ก็จะได้ผลลัพธ์ของการคำนวณที่ต้องการ เครื่องมือชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า Napire's Bone
- ปี ค.ศ. 1642 ได้มีการสร้างเครื่องกลไกสำหรับการคำนวณขึ้น โดยผู้สร้างเครื่องมือชนิดนี้เป็นชาวสก็อตแลนด์ ชื่อ เบล พาสคาล [Blaise Pascal] เครื่องมือที่เขาสร้างขึ้นนี้มีลักษณะเป็นฟันเฟืองขบกัน แต่ละเฟืองจะมีร่อง 10 ร่อง ซึ่งสามารถทดตัวเลขไปยังตัวเลขหลักถัดไปได้อีกด้วย เครื่องคำนวณนี้มีชื่อเรียกว่า เครื่องคำนวณของ เบล พาสคาล [Pascal Calculator]
- ปี ค.ศ. 1633 วิลเลี่ยม ออเทรด [William Oughtred] ชาวอังกฤษ ได้สร้างเครื่องมือคำนวณที่มีลักษณะเป็นไม้บรรทัด 2 อัน วางซ้อนกัน โดยมีไม้บรรทัดอันเล็กอยู่ตรงกลาง สามารถเลื่อนไปมาได้ ซึ่งภายหลังอุปกรณ์ชนิดนี้ก็ได้ถูกพัฒนามาเป็น Slide Rule
- ปี ค.ศ. 1671 ไลบ์นิซ [Gottfried Wilhelm Leinitz] ได้สร้างเครื่อง Leibnitz Calculating Machine ขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องกลไกที่ใช้คำนวณการคูณและหาร ปัจจุบันเครื่องนี้ได้จัดแสดงอยู่ที่ห้องสมุดแฮนโนเวอร์ [Library of Hannover]
- ในปี ค.ศ. 1823 ชาร์ล แบบเบจ [Charles Babbage] ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งแคมบริจด์ ประเทศอังกฤษ ได้รับอนุญาตและการสนับสนุนจากรัฐบาลให้สร้างเครื่องจักรคำนวณชื่อ Difference Engine ขึ้น และต่อมาก็ได้สร้างอุปกรณ์คำนวณขึ้นมาอีกตัว อุปกรณ์นี้มีชื่อว่า Analytical Engine ซึ่งอุปกรณ์นี้ได้ถูกออกแบบให้มีหน่วยความจำที่สามารถเก็บตัวเลขและคำนวณภายใต้การควบคุมของชุดคำสั่งที่เรียงต่อเนื่องกัน และสามารถพิมพ์งานติดต่อกันไปโดยอัตโนมัติได้อีกด้วย แนวคิดของเขาถือเป็นแนวคิดต้นแบบในการสร้างคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมา จึงมีผู้ยกย่องให้ ชาร์ล แบบเบจ [Charles Babbage] เป็นบิดาแห่งวิชาคอมพิวเตอร์ ในช่วงที่เขาได้ออกแบบสร้าง Analytical Engine อยู่นั้น Ada Augusta Byron นักเขียนชาวอังกฤษ ก็ได้เป็นผู้ช่วยเหลือและออกความเห็นในการสร้างและเขียนคำสั่งที่จะใช้กับเครื่อง Analytical Engine จึงมีผู้ยกย่องให้ Ada Augusta Byron เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก และต่อมาได้มีการสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า ADA เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอด้วย
- ในปี ค.ศ. 1887 Dr. Herman Hollerith ได้ถูกว่าจ้างโดยรัฐบาลสหรัฐให้สร้างเครื่องจักรเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากร โดยเขาได้บันทึกข้อมูลลงบนกระดาษแข็งด้วยการเจาะรูลงไปในกระดาษให้เป็นรูตามรหัสที่เขากำหนดไว้ และสร้างเครื่องมือสำหรับทำงานกับบัตรเหล่านี้ เครื่องนี้ทำให้การสำรวจสำมะโนประชากรทำได้เร็วยิ่งขึ้นซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ใน 8 ของเวลาที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ ต่อมาเขาก็ได้ปรับปรุงและนำเครื่องมือที่เขาออกแบบนี้มาใช้กับงานทางธุรกิจ และได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมา ชื่อว่า IBM [International Business Machines Corporation]
- ในปี ค.ศ. 1937 ศาสตราจารย์ Hovard Aiken ได้ร่วมมือกับบริษัท IBM สร้างเครื่อง ASCC [Automatic Sequence Controlled Calculator หรือ Mark I] มีความสูง 8 ฟุต ยาว 55 ฟุต สามารถคูณตัวเลข 10 หลัก โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที เครื่องนี้มีส่วนประกอบที่เป็นสวิตช์ [Switch] และหลอดสุญญากาศ [Vacuum Tube หรือ Electron Tube] รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ กว่า 760,000 ชิ้น และใช้สายไฟต่อเชื่อมส่วนต่าง ๆ ที่มีความยาวถึง 500 ไมล์ และมีการทำงานทั้งส่วนที่ใช้กลไกและไฟฟ้า ซึ่งจัดอยู่ในหมวด Electro Mechanical Device
- ในปี ค.ศ. 1941 John W. Mauchly และ J. Presper Eckert ได้ร่วมมือกันสร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้า [Electronic Computer] ชื่อ ENIAC [Electronic Numerical And Calculator] ซึ่งมีการนำหลอดสุญญากาศ [Vacuum Tube] ถึง 18,000 หลอด เป็นส่วนประกอบหลักในการสร้าง เครื่อง ENIAC มีขนาดใหญ่มาก กินเนื้อที่ถึง 1,500 ตารางฟุต มีนำหนัก 30 ตัน สามารถคำนวณได้นาทีละ 300 คำสั่ง
- Dr. John Von Neumann ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า EDVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโปรแกรมคำสั่งทำงานได้ โดยไม่ต้องรื้อเดินสายเครื่องใหม่ ซึ่งแนวคิด [Concept] นี้ เป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันในยุคต่อมา
[สรุป] ประวัติของคอมพิวเตอร์
- มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ : นับจำนวนด้วยการใช้นิ้วมือ กิ่งไม้ ก้อนหิน และขีดเขียนลงตามพื้นดินหรือผนังถ้ำ และพัฒนามาเป็นการคำนวณแบบง่าย ๆ เช่น การบวก ลบ เป็นต้น
- 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช : ชาวบาบิโลเนียนโบราณ : สร้างอุปกรณ์สำหรับการคำนวณและจดบันทึกโดยใช้ก้อนหินและดินเหนียวมาร้อยกับเชือกที่ขึงไว้กับกรอบไม้สี่เหลี่ยม
- 2,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช : ชาวจีน : สร้างลูกคิด [Abacus]
- จอห์น เนเปียร์ [John Napier] : สร้าง Napire's Bone
- ค.ศ. 1642 : เบล พาสคาล [Blaise Pascal] : สร้าง Pascal Calculator
- ค.ศ. 1633 : วิลเลี่ยม ออเทรด [William Oughtred] : สร้าง Slide Rule
- ค.ศ. 1671 : ไลบ์นิซ [Gottfried Wilhelm Leinitz] : สร้างเครื่อง Leibnitz Calculating Machine
- ค.ศ. 1823 : ชาร์ล แบบเบจ [Charles Babbage] : สร้างเครื่อง Difference Engine
- ชาร์ล แบบเบจ [Charles Babbage] : สร้างเครื่อง Analytical Engine : เป็นบิดาแห่งวิชาคอมพิวเตอร์
- Ada Augusta Byron : เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
- ค.ศ. 1887 : Dr. Herman Hollerith : สร้างบัตรเจาะรู Hollerith Card และ เครื่องมือที่ทำงานกับบัตรเจาะรูของ Hollerith และได้จัดตั้งบริษัท IBM [International Business Machines Corporation]
- ค.ศ. 1937 : ศาสตราจารย์ Hovard Aiken : สร้างเครื่อง ASCC [Automatic Sequence Controlled Calculator หรือ Mark I] เป็นอุปกรณ์คำนวณประเภท Electro Mechanical Device
- ค.ศ. 1941 : John W. Mauchly และ J. Presper Eckert : สร้างเครื่อง ENIAC [Electronic Numerical And Calculator] : เป็น คอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้า [Electronic Computer] เครื่องแรกของโลก
- Dr. John Von Neumann : สร้างเครื่อง EDVAC : เป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้เป็นเครื่องแรกของโลก [Stored Program Computer]
วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์
- ยุคที่ 1 [The First Generation] ค.ศ. 1944 - 1958 ยุคแห่งหลอดสุญญากาศ [Vacuum Tube]
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศเป็นส่วนประกอบหลัก ใช้กำลังไฟฟ้าสูงจึงมีปัญหาเรื่องความร้อน สั่งงานโดยใช้ภาษาเครื่อง [Machine Code หรือ Machine Language] คอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่โต คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ ได้แก่ ASCC [Automatic Sequence Controlled Calculator หรือ Mark I], ENIAC [Electronic Numerical And Calculator], EDVAC, IBM 650, UNIVAC I เป็นต้น
- ยุคที่ 2 [The Second Generation] ค.ศ. 1959 - 1964 ยุคแห่งทรานซิสเตอร์ [Transistor]
คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์เป็นส่วนประกอบหลัก สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาระดับสูงได้ เช่น FORTRAN [Formula Translation], BASIC [Beginners All-purpose Symbolic Instruction Code], COBAL [Common Business Oriented] เป็นต้น ในส่วนของหน่วยความจำ บางเครื่องก็มีการนำเอาวงแหวนแม่เหล็ก [Magnetic Core] มาใช้เป็นส่วนประกอบด้วย ตัวอย่างของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในยุคนี้ ได้แก่ IBM 1401, IBM 7000, CD 3600 เป็นต้น
- ยุคที่ 3 [The Third Generation] ค.ศ. 1964 - 1974 ยุคแห่งวงจรรวม [IC : Integrated Circuits]
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้จะใช้วงจรรวม [IC : Integrated Circuit] เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นผลึกสารซิลิกอน ที่ภายในสามารถทำให้มีสภาพเป็นทรานซิสเตอร์ และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่รวมกันเป็นวงจรสำหรับทำงานต่าง ๆ ได้ โดยมีการนำเอา IC เข้ามาใช้สร้างที่เป็น CPU, Memory และส่วนประกอบอื่น ๆ ของคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ ได้แก่ IBM 360, UNIVAC 9400 เป็นต้น
- ยุคที่ 4 [The Fifth Generation Computer] ค.ศ. 1975 ยุคแห่งวงจรรวมขนาดใหญ่ [LSI : Large Scale Integrated Circuits]
ยุคนี้มีการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก ๆ เป็นผลึกซิลิกอนที่ภายในประกอบด้วยวงจรย่อยจำนวนมากมายมหาศาล เสมือนการนำ IC จำนวนมากมาอยู่รวมกัน เรียกว่า วงจรรวมขนาดใหญ่ [LSI : Large Scale Integrated Circuits] มีการพัฒนา LSI ใหม่ ๆ เพื่อใช้เป็น CPU จนพัฒนามาเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก [VLSI : Very Large Scale Integration หรือ Very Large Scale Integrated Circuit] เช่น Micro Processor เป็นต้น คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้แก่ IBM 370, IBM 4311, NEC 300, IBM/PC และอื่น ๆ อีกมากมาย
- ยุคที่ 5 [The Fifth Generation Computer]
มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อหาทางพัฒนาคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาให้ VLSI นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น เพื่อคอร์ให้กับซีพียูเป็นต้น และคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีการทดลองและทำวิจัยเพื่อหาวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดเท่าเทียมมนุษย์ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ [AI : Artificial Intelligence] เป็นต้น
- คอมพิวเตอร์ ยุคที่ 6
-- ควอนตัมคอมพิวเตอร์
ลักษณะของวงจรคอมพิวเตอร์ในยุคต่างๆ
- ยุคที่ 1 วงจรหลอดสุญญากาศ [Vacuum Tube]
- ยุคที่ 2 วงจรทรานซิสเตอร์ [Transistor]
- ยุคที่ 3 วงจรรวม [IC : Integrated Circuits]
- ยุคที่ 4 วงจรรวมแบบซัพซ้อนขึ้นมากกว่าเดิม
ประเภทของคอมพิวเตอร์ จำแนกตามลักษณะสัญญาณ
- แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ [Analog Computer] : เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใช้กับงานเฉพาะอย่างการทำงานใช้หลักการวัดข้อมูลที่ป้อนเข้าไปจะเป็นสัญญาณอนาลอก [Analog Signal] ซึ่งเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าที่มีค่าต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่มีลักษณะไม่แน่นอน ค่าสัญญาณไฟฟ้าอาจแทนอุณหภูมิ ความเร็วหรือความดัน การรับข้อมูลจะรับจากแหล่งที่เกิดโดยตรงแล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาทางจอภาพ หรืออ่านค่าได้จากเครื่องวัดความละเอียดถูกต้องในการคำนวณด้อยกว่าดิจิตอลคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากเหมือนกับดิจิตอล เครื่องคอมพิวเตอร์พวกนี้ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจสภาพอากาศและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในวงการแพทย์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจวัดสายตา เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจคลื่นสมอง เป็นต้น
- ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ [Digital Computer] : เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานกับสัญญาณดิจิตอล[Digital Signal] ซึ่งเป็นสัญญาณที่มีสถานะแน่นอนเพียง 2 สถานะ ที่แทนด้วยเลข 0 และ 1 ดิจิตอลคอมพิวเตอร์สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้หลายประเภท มีความละเอียดถูกต้องในการคำนวณมากกว่าอนาลอกคอมพิวเตอร์ สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากจึงต้องใช้สื่อในการเก็บข้อมูล เช่น งานบัญชี งานงบประมาณ งานคำนวณเปรียบเทียบหรือหาค่าต่างๆ ทางสถิติ เป็นต้น
- แบบผสม [Hybrid Computer] : เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กับงานเฉพาะอย่าง การทำงานจะใช้เทคนิคของอนาลอกควบคมการหมุนของตัวยานอวกาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกดดันอากาศ อุณหภูมิ ความเร็วจะต้องใช้เทคนิคของดิจิตอลในการคำนวณระยะทางเป็นต้น
- ควอนตัมคอมพิวเตอร์ [Quantum Computer] : เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลักการทางฟิสิกส์ควอนตัมในการสร้าง ตามปกติ 1 bit ใน digital computer จะมีค่าได้แค่ 0 หรือ 1 เพียงค่าเดียว แต่ 1 qubit ใน quantum computer สามารถมีค่าเป็นได้ทั้ง 0 และ 1 ในเวลาเดียวกัน
คอมพิวเตอร์แบ่งตามจุดประสงค์การใช้งาน
- คอมพิวเตอร์เฉพาะกิจ [Special Purpose Computer] : เป็นประเภทคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น คอมพิวเตอร์ตรวจคลื่นสมอง เป็นต้น
- คอมพิวเตอร์ใช้งานทั่วไป [General Purpose Computer] : เป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์
เมื่อเราพิจารณาดูคอมพิวเตอร์หลายรุ่นหลายแบบและหลักการทำงานแล้วนั้น เราจะพบว่าคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ มีอยู่ 2 ส่วน ได้แก่
- ส่วนของฮาร์ดแวร์ [Hardware] : อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้
- ส่วนของซอฟต์แวร์ [Software] : ชุดคำสั่งที่กำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำตามจุดประสงค์ที่ต้องการ บางครั้งเรามักจะเรียกซอฟต์แวร์ว่าโปรแกรม
ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
เราสามารถแบ่งส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ โดยแยกส่วนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
- รับข้อมูล [Input] ได้แก่ เมาส์, คีย์บอร์ด
- ประมวลผล [Processing] ได้แก่ ซีพียู หรือหน่วยประมวลผลกลาง
- หน่วยความจำ [Memory] ได้แก่ แรม, ฮาร์ดดิสก์
- แสดงผล [Output] อุปกรณ์แสดงผล ได้แก่ จอภาพ หรือ มอนิเตอร์ [Monitor], ลำโพง
ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ในระบบคอมพิวเตอร์
- อุปกรณ์แสดงผล [Output]
-- จอภาพ หรือ มอนิเตอร์ [Monitor]
--- จอแบบหลอดภาพ [CRT : Cathode Ray Tube]
--- จอแบบผลึกเหลว [LCD : Liquide Crytal Display]
-- ลำโพง [Speaker]
-- เครื่องพิมพ์ [Printer]
--- Dot Matrix
--- Inkjet
--- Laser
- อุปกรณ์รับข้อมูล [Input]
-- วีดีโอแคม [VDO Cam : Video Camera]
-- ตัวเครื่อง หรือ เคส [Case หรือ Chassis]
-- ไมโครโฟน [Microphone]
-- สแกนเนอร์ [Scanner]
-- เมาส์ [Mouse]
-- แป้นพิมพ์ หรือ คีย์บอร์ด [Keyboard]
- อุปกรณ์ส่วนประมวลผล [Processing]
-- ซีพียู หรือ หน่วยประมวลผลกลาง [Central Processing Unit]
-- การ์ดแสดงผล [Video Card]
-- การ์ดเสียง [Sound Card]
- อุปกรณ์จ่ายพลังงาน [Supply]
-- หม้อแปลงไฟฟ้า [Power Supply, Tranformer, Adapter]
-- เครื่องสำรองไฟ [UPS : Uninterruptible Power Supply]
- สื่อบันทึกข้อมูล [Media Drive]
-- เครื่องอ่านจานแสง [Optical Disc Drive]
--- เครื่องอ่านเขียนแผ่นซีดี [CD-RW Drive]
--- เครื่องอ่านแผ่นดีวีดี [DVD Drive]
-- เครื่องอ่านเขียนแผ่นดิสก์ [Floppy Disk Drive]
-- ฮาร์ดดิสก์ [Harddisk]
ระบบคอมพิวเตอร์ [Computer System]
การที่เราจะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานใด ๆ นั้น จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาทำงานร่วมกันเป็นระบบคอมพิวเตอร์ เราจึงจะทำให้งานนั้นสามารถดำเนินไปได้
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
- ฮาร์ดแวร์ (คำทับศัพท์) หรือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือ ส่วนเครื่อง หรือ ส่วนอุปกรณ์ (Hardware) : ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เช่น ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์, จอแสดงผล, เมาส์ และคีย์บอร์ด นอกจากนั้น
- ซอฟต์แวร์ (คำทับศัพท์) ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ หรือ ส่วนชุดคำสั่ง (Software)
- ฮาร์ดแวร์ (คำทับศัพท์) หรือ บุคลากรคอมพิวเตอร์ (Peopleware)
ประเภทคอมพิวเตอร์แบ่งโดยใช้การวางลงบนพื้นที่ต่างๆ
- คอมพิวเตอร์ในต่างมิติ [Dimensiontop Computer] เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของมนุษย์ต่างดาวที่อยู่คนละมิติกับเรา
- คอมพิวเตอร์บนอวกาศ [Spacetop Computer] เช่น ดาวเทียม
- คอมพิวเตอร์ลอยบนอากาศ [Airtop Computer] เช่น บอลลูนตรวจสภาพอากาศ
- คอมพิวเตอร์บนน้ำหรือทะเล [Seatop Computer] เช่น เครื่องตรวจจับคลื่นสึนามิ
- คอมพิวเตอร์วางบนพื้น [Groundtop Computer] เช่น คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ในองค์กร
- คอมพิวเตอร์วางบนโต๊ะ [Desktop Computer] เช่น คอมพิวเตอร์พีซีที่ใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป
- คอมพิวเตอร์วางบนตัก [Laptop Computer] เช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และ คอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊ค
- คอมพิวเตอร์บนข้อมือ [Wristtop Computer] เช่น Apple Watch
- คอมพิวเตอร์มือถือ [Handtop Computer] เช่น Smart Phone
- คอมพิวเตอร์ติดบนตาหรือใบหน้า [Facetop Computer] เช่น Google Glass
ประเภทของคอมพิวเตอร์ จำแนกตามขนาดและประสิทธิภาพ
- คอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานเฉพาะด้าน
-- ควันตัมคอมพิวเตอร์ [Quantum Computer]
-- สุดยอดคอมพิวเตอร์ [Super Computer]
- คอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่
-- คอมพิวเตอร์ระดับกลาง [Mainframe Computer]
- คอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดกลาง
-- คอมพิวเตอร์ระดับเล็ก [Mini Computer, Mid-Range Computer , Midsize Computer]
- คอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดเล็ก
-- คอมพิวเตอร์สำหรับประกอบอาชีพ [Work Station Computer]
- คอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
-- คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก [Micro Computer] หรือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล [PC : Personal Computer]
--- คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ [Desktop Computer]
--- อออินวันพีซี [All-in-one PC]
--- คอมพิวเตอร์วางตัก [Laptop Computer]
--- คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าสมุดบันทึก [Notebook Computer]
---- Super Notebook
--- คอมพิวเตอร์ขนาดฝ่ามือ [Palmtop Computer]
--- คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา [Tablet Computer]
--- คอมพิวเตอร์มือถือ [Hand-Held Computer]
--- คอมพิวเตอร์ขนาดกระเป๋าเสื้อ [Pocket PC]
ประเภทคอมพิวเตอร์แบบพกพา [Notebook หรือ Laptop]
- ประเภทของโน้ตบุ๊กแบ่งกลุ่มตามขนาด
-- โน้ตบุ๊กขนาดใหญ่ เน้นประสิทธิภาพในการใช้งานเฉพาะด้าน
--- Desktop Replacement
-- โน้ตบุ๊กขนาดกลาง เน้นความคล่องตัวในการใช้งานทั่วไป
--- Ultra-Thin
-- โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก เน้นประหยัดพลังงานเพื่อพกพาไปใช้งานนอกสถานที่
--- Sub-Notebook
--- Netbook
--- Mini-Notebook
- ประเภทของโน้ตบุ๊กแบ่งกลุ่มตามคุณสมบัติและการนำไปใช้งาน
-- โน้ตบุ๊กแบบระบบสัมผัสหน้าจอ [Tablet PC]
--- แบบหมุนจอได้ [Convertibles]
--- แบบกระดานเรียบ [Slates]
--- แบบหน้าจอคู่ [Booklets]
--- แบบลูกผสม [Hybrids]
-- โน้ตบุ๊กแบบบางเบาพิเศษ [Ultra-thin Notebook]
-- โน้ตบุ๊กแบบจิ๋วเพื่อการพกพา [Netbook หรือ Mini-Notebook]
-- โน้ตบุ๊กแบบทนทานสำหรับงานหนัก [Rugged Notebook]
ประเภทของคอมพิวเตอร์ แบ่งตามหน้าที่ในเครือข่าย
- คอมพิวเตอร์แม่ข่าย [Server Computer]
-- Micro Server
-- Rack Server
-- Tower Server
-- Blade Server
- คอมพิวเตอร์ลูกข่าย [Client Computer]
-- คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล [PC : Personal Computer]
ประเภทคอมพิวเตอร์ จำแนกตามผู้ประกอบ
- Computer Band Name คือ คอมพิวเตอร์ที่ประกอบในโรงงานผลิต
- Computer Shop Made คือ คอมพิวเตอร์ที่ประกอบโดยร้านขายคอมพิวเตอร์
- Computer Home Made หรือ Computer D.I.Y คือ คอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยตนเอง
ประเภทของคอมพิวเตอร์แบ่งตามราคา
- High Cost Computer
- Medium Cost Computer
- Low Cost Computer
ประเภทของคอมพิวเตอร์แบ่งตามประสิทธิภาพ
- High End Computer
- Mid End Computer
- Low End Computer
ภาพรวมของระบบคอมพิวเตอร์ [Computer System Overview]
- อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ [Hardware]
- ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ [Software]
- บุคลากร [Peopleware]
- กระบวนการทำงาน [Procedure]
- ข้อมูล [Data]
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์
- หน่วยประมวลผล [Processor, Processing Unit, Central Processing Unit]
- หน่วยความจำ [Memory]
-- หน่วยความจำหลัก [Main Memory, Primary Memory]
--- ROM [Read Only Memory]
--- RAM [Random Access Memory]
-- หน่วยความจำสำรอง [Secondary Storage]
-- หน่วยความจำแบบแคช [Cache Memory]
-- หน่วยความจำบัพเฟอร์ [Buffer Memory]
- หน่วยนำเข้า [Input Unit]
- หน่วยแสดงผล [Output Unit]
- อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ [Peripheral Equipment]
Centralized Computing & Virtualization
- Desktop Virtualization
-- Dumb Terminal, Dump Terminal
- Cloud Client
-- Mini PC
-- Thin Client
-- Zero Client
--- Cloud Client Firmware
--- Steaming Technology
-- Cloud PC
-- PXE [Pre-Boot Execute Environment] [PXE อ่านว่า พิกซี่ Pixie]
เว็บไซต์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
http://mail.lipsia.de/~enigma/neu/pictures.html
https://classiccomputershop.eu
Advice : https://www.advice.co.th
JIB : https://www.jib.co.th
Banana IT : https://www.bnn.in.th, http://shoponline.bananastore.com
https://en.wikipedia.org/wiki/Laptop
http://www.amoretro.de/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น